วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เมื่อพระเยซู..ไม่อาจทำการอัศจรรย์...


พวกเขาถามว่า "เขาเป็นช่างไม้มิใช่หรือ? เขาเป็นลูกนางมารีย์ เป็นพี่ชายของยากอบ โยเซฟ ยูดาส กับซีโมน ไม่ใช่หรือ? พวกน้องสาวของเขาก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ?" เขาทั้งหลายจึงไม่พอใจพระองค์ (มก 6:3)


เหตุการณ์ตอนนี้ คือตอนที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับไปยังบ้านเกิดของพระองค์ พร้อมทั้งเทศนาสั่งสอนที่นั่น แต่ปรากฏว่า คนทั้งหลายกลับไม่มีความเชื่อถือในพระองค์ ด้วยว่าเขาเหล่านั้น เคยได้รู้จัก ได้เห็นพระองค์ และครอบครัวของพระองค์ ตั้งแต่พระองค์ยังเด็กๆ พวกเขาจึงขาดความเชื่อ และ ไม่มั่นใจว่า คนที่พวกเขาเห็นตั้งแต่เด็กๆ และเป็นแค่ช่างไม้ จะสามารถทำการอัศจรรย์ หรือ รักษาโรคใดๆ ได้




เหตุการณ์ในพระคัมภีร์ตอนนี้ อาจสร้างความคลางแคลงใจให้กับผู้ที่ได้อ่าน ถึงฤทธิ์เดชขององค์พระเยซูคริสต์ได้ แต่ขอให้อ่านต่อไป ในข้อที่ 4 จะพบว่า พระเยซูได้ตรัสกับพวกเขา ถึงเรื่องนี้ว่า

"ผู้เผยพระวจนะจะขาดคนนับถือก็แต่เฉพาะในบ้านเกิด ในหมู่ญาติ และในบ้านของตนเอง" (มก 6:4)


เหตุผลสำคัญเบื้องหลัง นั่นคือ การขาดความเชื่อของคนเหล่านั้น ทำให้ฤทธิ์เดชและพลังอำนาจของพระเจ้า ไม่สามารถทำการใดๆ ผ่านพวกเขาได้ การที่เรารู้จักใครสักคนอย่างดี ในภูมิหลังหรือประวัติเกี่ยวกับตัวเขา ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่า เราจะมีความเชื่อในเขา บางครั้งการที่รู้จักแบบนั้น กลับทำให้ความเชื่อมั่นลดน้อยลงด้วซ้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะทำงานผ่านความเชื่อและความวางใจเท่านั้น ฤทธิ์เดชของพระเจ้านั้นมีอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลง แต่จะเกิดผลต่อชีวิตของเราแต่ละคนได้ ต่อเมื่อเรามีความเชื่อในพระองค์ เปรียบได้กับคลื่นวิทยุในอากาศ ซึ่งกระจายเสียงออกมาจากสถานีส่ง แต่ใครจะรับฟังได้หรือไม่นั้น จะต้องปรับจูนคลื่นหน้าปัทม์ ให้ตรงกันกับคลื่นที่ถูกส่งออกมา


ความเชื่อและความวางใจในพระเจ้า ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเรามีความเชื่อไม่มากพอ หรือเชื่อแต่ปาก แต่ไม่ได้เชื่อด้วยใจ ฤทธิ์เดชหรือพลังอำนาจของพระเจ้า ก็ไม่สามารถที่จะสำแดงออกมาได้ในชีวิตของเรา เราจึงมักจะสงสัยว่า การเป็นคริสเตียนของเรา ไม่ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ดีขึ้นในชีวิต เราอาจสงสัยว่าสิ่งที่เราอธิษฐานทูลขอต่อพระองค์ ก็ไม่ประสบผลตามที่เราหวังไว้ เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ทำให้หลายคนท้อแท้ และถอยออกจากทางของพระเจ้า และคิดว่า พระเจ้าไม่มีจริง แต่หลายครั้งเรากลับลืมตรวจสอบไปว่า ระดับของความเชื่อของเราในพระเจ้ามีความเข้มข้น ถึงขั้นที่สามารถที่จะรองรับการทำการของพระองค์ในชีวิตของเราได้หรือยัง

ผมอยากจะหนุนใจท่านทั้งหลายว่า ขอให้เราเชื่อและวางใจในพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า และคำสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ในพระคัมภีร์ เป็นความเชื่อและวางใจแบบไม่มีข้อสงสัยในพระสัญญาของพระองค์ เมื่อนั้น สิ่งที่ท่านทูลขอจากพระองค์ และเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับแผนการและน้ำพระทัยของพระองค์ สิ่งนั้นท่านจะได้รับอย่างแน่นอน

สุดท้ายขอฝากไว้ว่า อย่าเป็นเหมือนคนในบ้านเกิดของพระเยซูที่อวดรู้ อวดฉลาด รู้ทุกอย่าง รู้จักพระองค์ตั้งแต่เด็ก รู้จักพ่อแม่ญาติพี่น้องของพระองค์หมด แต่ความรู้แบบนั้น กลับทำให้เขาขาดความเชื่อในพระองค์ ถ้าพวกเรากำลังเป็นแบบนั้น เราจะไม่มีทางพบเห็นการอัศจรรย์ใดๆ ของพระเจ้าในชีวิตของเราเลย เพราะว่า "พระเจ้าสามารถกระทำการดีทุกสิ่งได้ในชีวิตของเรา โดยผ่านความเชื่อและความวางใจที่เรามีต่อพระองค์เท่านั้น"

ขอความเชื่อและความวางใจ ในองค์พระเยซูคริสต์สถิตย์อยู่กับท่านตลอดไป

รวบรวมและเรียบเรียนโดย ธวัชชัย เกิดประดับ
08-07-09

ไม่มีความคิดเห็น: