วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พลังแห่งความเรียบง่าย (Power of Simplicity)


ชีวิตของมนุษย์เรานั้น มีเพียงแค่ชีวิตเดียว แต่เรากลับยอมให้หลายสิ่งทำให้ชีวิตเราเสียเวลา จนพลาดแผนการและสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับชีวิตของเรา  มีสิ่งชั่วร้ายหลายอย่างที่คอยฉุดรั้งชีวิต ทำให้เราเสียเวลา  การเสียเวลาในบางสิ่งที่ไม่จำเป็นนั้น ถือได้ว่าเป็นการเสียเวลาช่วงหนึ่งของชีวิตไปเลยทีเดียว  
เมื่อเราเป็นเด็กนั้น เรามีความคิดที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เหมือนเมื่อตอนเราโตเป็นผู้ใหญ่  เด็กๆ มักมีความคิดที่เรียบง่าย มองโลกไม่ซับซ้อน  นั่นคือพลังแห่งความเรียบง่าย  หรือ Power of Simplicity    ถ้าเรามีความเรียบง่ายในชีวิต เราจะมีชีวิตที่ดีขึ้น สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น และเกิดผลมากขึ้นด้วย   ในพระธรรม 1 โครินธ์ 2:1-4  เขียนไว้ว่า

“พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่าน ข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วยคำพูด สละสลวย หรือ สติปัญญาเลอเลิศ ขณะที่ข้าพเจ้าประกาศคำพยานเกี่ยวกับพระเจ้า ให้แก่ท่าน”


ในพระธรรมตอนนี้ เปาโล ได้กล่าวว่า เขาไม่ได้ใช้คำพูดที่สละสลวย หรือว่าถ้อยคำที่ซับซ้อนใดๆ เลย เราจะเห็นได้ว่า ถ้อยคำพระเจ้า ไม่เคยซับซ้อน แต่ศาสนา และการตีความต่างหากที่ทำให้ถ้อยคำพระเจ้ากลายเป็นความซับซ้อน และเข้าใจได้ยาก   ลองกลับมาดูในขณะที่พระเยซูยังดำรงพระชนม์อยู่ภายในโลกมนุษย์ พระองค์ทรงดำรงตนด้วยความเรียบง่ายมาก เห็นได้จากคำสอนของพระองค์ ล้วนแต่ใช้อุปมาอุปมัยกับสิ่งใกล้ตัว ที่เรียบง่าย ในการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น เมล็ดพืช บ้าน  ไข่มุก น้ำองุ่น ปลา เกลือ   พระเยซูล้วนใช้เรื่องที่เรียบง่ายใกล้ตัวในการสอน    การศึกษาที่แท้จริงของมนุษย์นั้นต้องทำให้ทุกอย่างเรียบง่าย เข้าใจง่าย ไม่ใช่ทำให้ยุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปกว่าเดิม  อะไรที่มากเกินไป ทำให้เราจะต้องมีค่าใช้จ่าย หรือจ่ายเพิ่มเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือเวลาก็ตาม


การดำเนินชีวิต ด้วยความยุ่งยากสลับซับซ้อนเกินไป จะทำให้เราต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไปอย่างแน่นอน  คนเราทุกวันนี้ที่ประสบปัญหาความยุ่งยากในชีวิตโดยไม่จำเป็นนั้น เพราะเราไม่เข้าใจ “พลังแห่งความเรียบง่าย”


ก่อนที่เราจะไปดูกัน ถึง “พลังแห่งความเรียบง่าย”   เรามาดูกันว่า อะไรคือผลดีหรือผลประโยชน์ที่เกิดจากความเรียบง่าย กันก่อนดีกว่า เริ่มที่

   1.  Focus Better จดจ่อได้มากขึ้น
ถ้าเราต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เราจะสูญเสียการจดจ่อไป  เราจะต้องปรับตัวอย่างมากในการกลับคืนสู่ความเรียบง่าย แต่มันก็คุ้มเพราะความเรียบง่ายจะช่วยให้เราจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเราจริงๆ  และช่วยไม่ให้สมาธิเราถูกแบ่งแยกออกไป รวมทั้งสามารถทำสิ่งที่เราจดจ่ออยู่ให้ประสบผลสำเร็จได้

   2.  More Creativeมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
การที่เราจดจ่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็จะมีความคิดสร้างสรรค์ในสิ่งนั้นๆ มากยิ่งขึ้น และการจะจดจ่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นั้น ต้องอาศัยความเรียบง่ายเท่านั้น

   3.Greater and Lasting Result ประสิทธิภาพและการเกิดผลที่ถาวร
ความเรียบง่ายจะช่วยให้การทำงานของเรา เกิดประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่อยู่คงทนถาวร ยืนยาว เป็นผลลัพธ์หรือผลงานที่มีประสิทธิภาพสูง และ มีคุณภาพ

    4.  Eliminate Unnecessary Stress ขจัดความเครียดที่ไม่จำเป็นออกไป
สิ่งที่ไม่ค่อยจำเป็นต่อชีวิต มักจะเป็นสิ่งที่นำความเครียดเข้ามาสู่ชีวิตของเรา  ความเรียบง่ายจะทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ชีวิตของคนเราไม่ยืนยาวนัก  ถ้าเรามัวแต่พยายามแก้ไขโน่นนี่อยู่ตลอดวเลา หันกลับมาดูอีกที อายุอาจจะ 70-80 ปีแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น จะกลายเป็นว่าเราเหลือเวลาน้อยนิดกับการมีชีวิตอยู่แล้ว   ถ้าเราต้องต่อสู้ดิ้นรนตลอดทั้งชีวิต เราจะเหลือเวลาที่ไหนไปชื่นชมยินดีกับชัยชนะ หรือสิ่งดีๆ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา 

ชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป แน่นอนว่าปัญหาต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้เสมอ แต่พระเจ้าจะทรงช่วยเราทำให้ปัญหาต่างๆ ที่ดูเหมือนยุ่งยากนั้น กลับกลายเป็นง่ายขึ้น  ถ้าเรากำลังวุ่นวายอะไรอยู่ในชีวิต ก็เหมือนกับว่าเรากำลังจดจ่ออยู่แต่กับตัวเราเอง ทำให้เราไม่สามารถที่จะไปรับใช้ผู้อื่นได้ เท่ากับเป็นการจำกัด ศักยภาพของตัวเราเอง แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณเป็นอิสระจากสิ่งนี้ เราก็สามารถช่วยปลดปล่อยคนอื่นให้เป็นอิสระได้ด้วย
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปิดใจรับความเรียบง่าย นั่นคือเปิดรับสติปัญญาของพระเจ้า เข้ามาในชีวิตของเรา เราหลายคนยังเข้าใจผิดว่า การที่เราทำตัวให้ยุ่งตลอดเวลาจะทำให้เราดูดี  ชีวิตที่เริ่มทำงานยุ่งวุ่นวายตั้งแต่ ตี 4 ยัน 5 ทุ่ม แล้วดูเท่ห์  แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นเลย คนฉลาดล้วนแต่ดำเนินชีวิตด้วยความเรียบง่ายทั้งสิ้น    ในพระธรรม ยอห์น 15: 1-2  พระเยซูทรงตรัสว่า

“เราเป็นเถาองุ่นแท้และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา  พระองค์ทรงตัดทุกแขนงในเราที่ไม่เกิดผลทิ้ง ส่วนทุกแขนงที่เกิดผลพระองค์ทรงลิด เพื่อให้เกิดผลมากยิ่งขึ้น”

ในพระธรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ดูแลรักษาสวน ทรงตัดแต่งต้นไม้ในสวนให้สวยงาม ถ้าเราอยากให้ชีวิตเราออกผลมากขึ้น เราต้องยอมให้พระเจ้าตัดแต่งส่วนต่างๆ ที่ไม่จำเป็นในชีวิตออกไป เมื่อเราได้รับการตัดแต่งส่วนที่ไม่จำเป็นออกไปมากเท่าไร เราก็จะเกิดผลขึ้นมากกว่าเดิม 

หลายครั้งที่เรารู้สึกว่าชีวิตเรายุ่งมาก ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องอื่นๆ เลย เหตุเพราะเราไม่ตัดแต่งชีวิตของเราเลย  พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เรามีชีวิตที่สมดุล เราควรจะต้องมีเวลาให้กับเรื่องที่สำคัญๆ ในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของครอบครัว เรื่องของลูกๆ เรื่องของงาน เรื่องของเพื่อน  และด้านอื่นๆ ของชีวิต  ถ้าเราตัดแต่งชีวิตของเราได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เราจะมีเวลาให้กับเรื่องสำคัญๆ ทั้งหมดนี้ได้    เราทุกคนสามารถทำได้ แต่ จะต้องเริ่มที่ “ตัวเรา” ก่อน และต้องเริ่ม “เดี๋ยวนี้” เพื่อที่ว่าเราจะได้ชื่นชมกับชีวิตที่มีความสุขได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย

เรามาดูหลักการที่จะทำให้ชีวิตของเรา เรียบง่าย ขึ้น  ดีไหมครับ?  หลักการนี้ เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้เลยในทันที เริ่มที่



หลักการที่ทำให้ชีวิตเรียบง่าย


 1. รู้ถึงจุดประสงค์และทิศทางในชีวิตของเรา (Define your Purpose and Direction)

ถ้าเราไม่รู้ถึงเป้าหมายและทิศทางในชีวิตของเราแล้ว เราก็จะไม่รู้ว่าอะไรที่เราควรจะปฏิเสธ และอะไรที่เราควรตอบรับ  เราควรที่จะต้องถามตัวเราเองก่อนว่า เราต้องการทำอะไรกับชีวิตของเรา ชีวิตที่ไร้ทิศทางหรือจุดประสงค์ที่ชัดเจน จะทำให้เรากลายเป็นเหมือนปลาหมึกใส่รองเท้าสเกตท์ คือ เราจะเคลื่อนที่อยู่ตลอด ยุ่งอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเลย อย่างที่มีเขียนไว้ในพระธรรม ฮาบากุก 2:2 

“แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสตอบว่า
จงเขียนสิ่งที่เราเปิดเผยแก่เจ้า
ให้เห็นชัดเจนบนแผ่นจารึก
เพื่อว่าทุกคนที่อ่าน จะเข้าใจ ได้ทันที”

จะเห็นได้ว่าในพระธรรมตอนนี้ มีคำว่า “อย่างชัดเจน” นั่นคือการมีนิมิต การมีเป้าหมาย การมีวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนและเรียบง่าย ดังนั้น จุดประสงค์และทิศทางในชีวิต จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งแรกที่เราต้องมีก่อน

    2.  ตัดแต่งความสัมพันธ์บางอย่างของเราออกไป (Trim our relationship)

คุณไม่จำเป็นต้องเริ่มความสัมพันธ์กับทุกคนที่คุณพบ  แม้ว่าพระเจ้าต้องการให้เรามีเพื่อน ไม่ได้ต้องการให้เราอยู่คนเดียวบนโลก แต่ถ้าเราต้องการมีประสิทธิภาพในชีวิต จริงๆ เราต้องเข้าใจในเรื่องระดับความสัมพันธ์กับผู้คนต่างๆ ในชีวิตของเรา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไปสนิทสนมกับทุกๆ คน บนโลกใบนี้ หรือ พยายามทำให้คนทั้งโลกมาชอบคุณ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ หากมันจะเป็นไปได้ ก็คงเป็นได้แค่เพียงในความฝันเท่านั้น แม้กระทั่งองค์พระเยซูเอง ตอนอยู่ในโลกนี้ พระองค์ก็ไม่สามารถไปปรากฏตัวในทุกๆ ที่ พระองค์ก็ทรงมีความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันสำหรับสาวกแต่ละคน   พระองค์มีสาวก คนสนิทที่ติดตามพระองค์ไปทุกที่ เช่น เปโตร  ยากอบ ยอห์น  พระเยซู มีสาวก 12 คน มีฝูงชนที่ติดตามพระองค์ เป็นจำนวนมากมาย แต่พระองค์ก็ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับทุกคน   ดังนั้นเราเองก็เช่นกัน เราไม่สามารถอยู่ทุกหนทุกแห่งเพื่อทุกคนได้ เราต้องตัดแต่งความสัมพันธ์ของเรากับผู้คนด้วย  จงอย่ารู้สึกผิดที่ไม่สามารถสนิทสนมกับทุกๆ คนได้ เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตเราจะวุ่นวายและไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเราได้เลย

   3. ตัดแต่งการอุทิศทุ่มเทของเรา (Trim our commitment)

การอุทิศทุ่มเทเป็นสิ่งที่ดี แต่การอุทิศทุ่มเทมากเกินไปจะทำให้พบกับความพ่ายแพ้  เราไม่สามารถช่วยคนทุกคนในทุกเรื่องได้ ถ้าคุณตระหนักถึงจุดนี้ได้ ชีวิตคุณจะมีความเรียบง่ายมากขึ้น และมีความเครียดน้อยลง  เราอาจจะมีคำถามต่อไปว่า แล้วการอุทิศทุ่มเทด้านใดบ้างที่ เราควรจะต้องตัดออกไป   เราเคยไปรับปากหรืออุทิศทุ่มเท ในอะไรที่เกินกว่าตัวเราจะทำได้หรือเปล่า?  เราควรจะต้องให้เกียรติ กับศักยภาพที่อยู่ในตัวของเราด้วย  เราอย่าพยายามเป็นวีรบุรุษ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น  พระเจ้ากำหนดให้เราเป็นอวัยวะที่แตกต่างกันในพระกายของพระคริสต์ เราแต่คละคนมีของประทาน มีความสามารถที่แตกต่างกัน สิ่งที่คุณทำได้ ผมอาจทำไม่ได้ และสิ่งที่คุณทำไม่ได้ ผมอาจจะทำได้ดี ก็เป็นได้ ดังนั้น เราต้องทำงานร่วมกัน ช่วยกัน ไม่ใช่การฉายเดี่ยวหรือเหมาทำคนเดียวหมด  เราไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทำทุกอย่าง  พระเจ้าไม่ได้เรียกเราให้ทำสิ่งสิ่งที่เข้ามาในชีวิตของเรา  เราจำเป็นต้องรู้เป้าหมายและวัตถุประสงค์ในชีวิตของเรา เพราะเมื่อเรารู้เป้าหมายและวัตถุประสงค์ในชีวิตแล้ว เราก็จะรู้ว่า “เรื่องใดควรรับปากและทุ่มเทให้”  และ “เรื่องใดที่ไม่ควรรับปากหรือทุ่มเท?”

ดังนั้นอย่ายอมรับปากหรือทุ่มเทในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพราะเรารู้สึกผิด การปฏิเสธบ้างบางครั้งก็ทำให้เกิดผลดีกับชีวิตของคุณ  


เรามาดูเหตุผลว่า ทำไมผู้คนถึงยินยอมรับปากในหลายสิ่งหลายอย่างที่มากเกินไป?

    a. กลัวว่า ถ้าไม่รับปากช่วยจะทำให้คนอื่นไม่พอใจ :
โดยที่เราลืมคิดไปว่า ถ้าชีวิตเรายุ่งยากขึ้นเพราะไม่กล้าปฏิเสธ  ก็เป็นความผิดของตัวเราเองไม่ใช่ความผิดของคนอื่น  ถ้าอยากเป็นคนมีประสิทธิภาพ เราต้องทำตัวให้พร้อมที่จะปฏิเสธ หรือ  อาจถูกผู้อื่นไม่พอใจบ้าง

     b. ขาดจุดประสงค์ที่ชัดเจนในชีวิต:
คนฉลาดต้องปฏิเสธให้เป็น กับสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในชีวิตของตน   ดังนั้นคนเราต้องมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายหลักในชีวิตก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อที่เราจะได้ปฏิเสธกับสิ่งที่ไม่ตรงกับเป้าหมายในชีวิตของเราได้

   4. ตัดแต่งการเรียนรู้ของเราเสมอ (Trim your Learning)
ทุกวันนี้เราอยู่ในสังคมที่มีข้อมูลเข่าวสารมากมาย เรามีการแข่งขันกันเรียน เราให้เด็กๆ ต้องเรียนพิเศษกันตลอดทั้งวันหยุดทั้งตอนเย็น  การที่ให้เด็กเรียนพิเศษมากเกินไป ทำให้เด็กขาดการจดจ่อหรือขาดสมาธิ  ในเรื่องที่สำคัญสำหรับเขาจริงๆ  เราควรจะต้องดูว่า เด็กๆ หรือแม้กระทั่งตัวเราเองนั้น สนใจในเรื่องใดหรือสิ่งใด  แล้วเราก็แนะนำหรือชี้ทางให้เขาไปในทางนั้น และใช้เวลาจดจ่อมีสมาธิกับสิ่งนั้น โดยสิ่งนั้นจะต้องตรงกับเป้าหมายและจุดประสงค์ในชีวิตที่เราตั้งไว้ อย่าไปเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือนำคุณไปสู่เป้าหมายขีวิตของคุณเลย

   5.  ตัดแต่งการสู้รบของคุณ (Trim your fight)
พระเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้คุณต้องไปรับมือกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ  อย่ามองว่าการสู้รบทุกครั้งที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณจะต้องลงมือไปต่อสู้กับมันด้วยตัวคุณเอง  หลายครั้งที่คุณลงมือทำหรือลงไปต่อสู้ในสิ่งที่คุณไม่ควรทำ  กลับกลายเป็นว่าคุณได้เข้าไปขัดขวางคนที่ถูกเรียกมาเพื่อทำสิ่งนั้นจริงๆ   คุณควรค้นหาแรงปรารถนาของคุณให้พบว่าต้องการทำอะไรจริงๆ แล้วเดินไปตามแรงปรารถนาของคุณ  ถ้าคุณไม่มีแรงปรารถนาในเรื่องนั้นๆ คุณก็ไม่ต้องเข้าไปอาสาที่จะทำงานนั้น โดยเฉพาะการเข้าไปอาสาด้วยความรู้สึกผิด 
พลังแห่งความเรียบง่าย นั้นเป็นพลังที่มีประสิทธิภาพ และเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่จะช่วยให้ชีวิตคุณมีสันติสุขและมีความสงบ รวมทั้งเกิดผลได้อย่างมากมาย

เนื้อหาข้างต้นทั้่งหมด ผมถอดความมาแค่เพียงบางส่วนจากคำเทศนาของ ศิษยาภิบาล อ.นาธาน กอนไม  หากท่านต้องการรับฟังฉบับสมบูรณ์ สามารถติดต่อสำนักงาน คริสตจักร พระคุณเต็มล้น  www.agcasia.org  เพื่อสั่งซื้อ CD คำเทศนาได้ หรือสามารถมาร่วมนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรได้ทุกวันอาทิตย์เวลา 10:00 น. โรงแรมลานนาพาเลซ ถนนช้างคลาน อ.เมือง จ.เชียงใหม่

พระสิริมีแด่พระเจ้า
เอเมน

ไม่มีความคิดเห็น: