เมื่อเราเป็นเด็กนั้น เรามีความคิดที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
เหมือนเมื่อตอนเราโตเป็นผู้ใหญ่ เด็กๆ
มักมีความคิดที่เรียบง่าย มองโลกไม่ซับซ้อน
นั่นคือพลังแห่งความเรียบง่าย หรือ
Power of Simplicity ถ้าเรามีความเรียบง่ายในชีวิต เราจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น และเกิดผลมากขึ้นด้วย ในพระธรรม 1 โครินธ์
2:1-4 เขียนไว้ว่า
“พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่าน ข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วยคำพูด
สละสลวย หรือ สติปัญญาเลอเลิศ ขณะที่ข้าพเจ้าประกาศคำพยานเกี่ยวกับพระเจ้า
ให้แก่ท่าน”
ในพระธรรมตอนนี้ เปาโล ได้กล่าวว่า เขาไม่ได้ใช้คำพูดที่สละสลวย
หรือว่าถ้อยคำที่ซับซ้อนใดๆ เลย เราจะเห็นได้ว่า ถ้อยคำพระเจ้า ไม่เคยซับซ้อน
แต่ศาสนา และการตีความต่างหากที่ทำให้ถ้อยคำพระเจ้ากลายเป็นความซับซ้อน และเข้าใจได้ยาก
ลองกลับมาดูในขณะที่พระเยซูยังดำรงพระชนม์อยู่ภายในโลกมนุษย์
พระองค์ทรงดำรงตนด้วยความเรียบง่ายมาก เห็นได้จากคำสอนของพระองค์ ล้วนแต่ใช้อุปมาอุปมัยกับสิ่งใกล้ตัว
ที่เรียบง่าย ในการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น เมล็ดพืช บ้าน ไข่มุก น้ำองุ่น ปลา เกลือ
พระเยซูล้วนใช้เรื่องที่เรียบง่ายใกล้ตัวในการสอน การศึกษาที่แท้จริงของมนุษย์นั้นต้องทำให้ทุกอย่างเรียบง่าย เข้าใจง่าย ไม่ใช่ทำให้ยุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปกว่าเดิม อะไรที่มากเกินไป ทำให้เราจะต้องมีค่าใช้จ่าย
หรือจ่ายเพิ่มเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือเวลาก็ตาม
การดำเนินชีวิต ด้วยความยุ่งยากสลับซับซ้อนเกินไป
จะทำให้เราต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไปอย่างแน่นอน คนเราทุกวันนี้ที่ประสบปัญหาความยุ่งยากในชีวิตโดยไม่จำเป็นนั้น เพราะเราไม่เข้าใจ “พลังแห่งความเรียบง่าย”
ก่อนที่เราจะไปดูกัน ถึง “พลังแห่งความเรียบง่าย” เรามาดูกันว่า อะไรคือผลดีหรือผลประโยชน์ที่เกิดจากความเรียบง่าย กันก่อนดีกว่า เริ่มที่
1. Focus Better – จดจ่อได้มากขึ้น
ถ้าเราต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
เราจะสูญเสียการจดจ่อไป
เราจะต้องปรับตัวอย่างมากในการกลับคืนสู่ความเรียบง่าย แต่มันก็คุ้มเพราะความเรียบง่ายจะช่วยให้เราจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเราจริงๆ และช่วยไม่ให้สมาธิเราถูกแบ่งแยกออกไป รวมทั้งสามารถทำสิ่งที่เราจดจ่ออยู่ให้ประสบผลสำเร็จได้
2. More Creative –มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
การที่เราจดจ่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เราก็จะมีความคิดสร้างสรรค์ในสิ่งนั้นๆ มากยิ่งขึ้น และการจะจดจ่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นั้น
ต้องอาศัยความเรียบง่ายเท่านั้น
3.Greater and Lasting Result – ประสิทธิภาพและการเกิดผลที่ถาวร
ความเรียบง่ายจะช่วยให้การทำงานของเรา เกิดประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่อยู่คงทนถาวร
ยืนยาว เป็นผลลัพธ์หรือผลงานที่มีประสิทธิภาพสูง และ มีคุณภาพ
4. Eliminate Unnecessary Stress – ขจัดความเครียดที่ไม่จำเป็นออกไป
สิ่งที่ไม่ค่อยจำเป็นต่อชีวิต
มักจะเป็นสิ่งที่นำความเครียดเข้ามาสู่ชีวิตของเรา ความเรียบง่ายจะทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ชีวิตของคนเราไม่ยืนยาวนัก
ถ้าเรามัวแต่พยายามแก้ไขโน่นนี่อยู่ตลอดวเลา หันกลับมาดูอีกที อายุอาจจะ 70-80 ปีแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น จะกลายเป็นว่าเราเหลือเวลาน้อยนิดกับการมีชีวิตอยู่แล้ว ถ้าเราต้องต่อสู้ดิ้นรนตลอดทั้งชีวิต
เราจะเหลือเวลาที่ไหนไปชื่นชมยินดีกับชัยชนะ หรือสิ่งดีๆ
ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา
ชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป แน่นอนว่าปัญหาต่างๆ
อาจเกิดขึ้นได้เสมอ แต่พระเจ้าจะทรงช่วยเราทำให้ปัญหาต่างๆ ที่ดูเหมือนยุ่งยากนั้น
กลับกลายเป็นง่ายขึ้น
ถ้าเรากำลังวุ่นวายอะไรอยู่ในชีวิต
ก็เหมือนกับว่าเรากำลังจดจ่ออยู่แต่กับตัวเราเอง
ทำให้เราไม่สามารถที่จะไปรับใช้ผู้อื่นได้ เท่ากับเป็นการจำกัด
ศักยภาพของตัวเราเอง แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณเป็นอิสระจากสิ่งนี้
เราก็สามารถช่วยปลดปล่อยคนอื่นให้เป็นอิสระได้ด้วย
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปิดใจรับความเรียบง่าย
นั่นคือเปิดรับสติปัญญาของพระเจ้า เข้ามาในชีวิตของเรา เราหลายคนยังเข้าใจผิดว่า
การที่เราทำตัวให้ยุ่งตลอดเวลาจะทำให้เราดูดี
ชีวิตที่เริ่มทำงานยุ่งวุ่นวายตั้งแต่ ตี 4 ยัน 5 ทุ่ม แล้วดูเท่ห์ แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นเลย
คนฉลาดล้วนแต่ดำเนินชีวิตด้วยความเรียบง่ายทั้งสิ้น ในพระธรรม ยอห์น 15: 1-2 พระเยซูทรงตรัสว่า
“เราเป็นเถาองุ่นแท้และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา พระองค์ทรงตัดทุกแขนงในเราที่ไม่เกิดผลทิ้ง
ส่วนทุกแขนงที่เกิดผลพระองค์ทรงลิด เพื่อให้เกิดผลมากยิ่งขึ้น”
ในพระธรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ดูแลรักษาสวน
ทรงตัดแต่งต้นไม้ในสวนให้สวยงาม ถ้าเราอยากให้ชีวิตเราออกผลมากขึ้น
เราต้องยอมให้พระเจ้าตัดแต่งส่วนต่างๆ ที่ไม่จำเป็นในชีวิตออกไป เมื่อเราได้รับการตัดแต่งส่วนที่ไม่จำเป็นออกไปมากเท่าไร
เราก็จะเกิดผลขึ้นมากกว่าเดิม
หลายครั้งที่เรารู้สึกว่าชีวิตเรายุ่งมาก ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องอื่นๆ
เลย เหตุเพราะเราไม่ตัดแต่งชีวิตของเราเลย
พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เรามีชีวิตที่สมดุล
เราควรจะต้องมีเวลาให้กับเรื่องที่สำคัญๆ ในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของครอบครัว
เรื่องของลูกๆ เรื่องของงาน เรื่องของเพื่อน
และด้านอื่นๆ ของชีวิต
ถ้าเราตัดแต่งชีวิตของเราได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
เราจะมีเวลาให้กับเรื่องสำคัญๆ ทั้งหมดนี้ได้
เราทุกคนสามารถทำได้ แต่ จะต้องเริ่มที่ “ตัวเรา” ก่อน และต้องเริ่ม “เดี๋ยวนี้”
เพื่อที่ว่าเราจะได้ชื่นชมกับชีวิตที่มีความสุขได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย
เรามาดูหลักการที่จะทำให้ชีวิตของเรา เรียบง่าย ขึ้น ดีไหมครับ?
หลักการนี้ เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้เลยในทันที เริ่มที่
หลักการที่ทำให้ชีวิตเรียบง่าย
1. รู้ถึงจุดประสงค์และทิศทางในชีวิตของเรา (Define your Purpose and Direction)
ถ้าเราไม่รู้ถึงเป้าหมายและทิศทางในชีวิตของเราแล้ว เราก็จะไม่รู้ว่าอะไรที่เราควรจะปฏิเสธ
และอะไรที่เราควรตอบรับ
เราควรที่จะต้องถามตัวเราเองก่อนว่า เราต้องการทำอะไรกับชีวิตของเรา
ชีวิตที่ไร้ทิศทางหรือจุดประสงค์ที่ชัดเจน
จะทำให้เรากลายเป็นเหมือนปลาหมึกใส่รองเท้าสเกตท์ คือ เราจะเคลื่อนที่อยู่ตลอด ยุ่งอยู่ตลอดเวลา
แต่ไม่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเลย อย่างที่มีเขียนไว้ในพระธรรม
ฮาบากุก 2:2
“แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสตอบว่า
จงเขียนสิ่งที่เราเปิดเผยแก่เจ้า
ให้เห็นชัดเจนบนแผ่นจารึก
เพื่อว่าทุกคนที่อ่าน จะเข้าใจ ได้ทันที”
จะเห็นได้ว่าในพระธรรมตอนนี้ มีคำว่า “อย่างชัดเจน” นั่นคือการมีนิมิต
การมีเป้าหมาย การมีวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนและเรียบง่าย ดังนั้น จุดประสงค์และทิศทางในชีวิต
จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งแรกที่เราต้องมีก่อน
2. ตัดแต่งความสัมพันธ์บางอย่างของเราออกไป (Trim our relationship)
คุณไม่จำเป็นต้องเริ่มความสัมพันธ์กับทุกคนที่คุณพบ แม้ว่าพระเจ้าต้องการให้เรามีเพื่อน
ไม่ได้ต้องการให้เราอยู่คนเดียวบนโลก แต่ถ้าเราต้องการมีประสิทธิภาพในชีวิต จริงๆ
เราต้องเข้าใจในเรื่องระดับความสัมพันธ์กับผู้คนต่างๆ ในชีวิตของเรา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไปสนิทสนมกับทุกๆ
คน บนโลกใบนี้ หรือ พยายามทำให้คนทั้งโลกมาชอบคุณ เพราะมันเป็นไปไม่ได้
หากมันจะเป็นไปได้ ก็คงเป็นได้แค่เพียงในความฝันเท่านั้น แม้กระทั่งองค์พระเยซูเอง
ตอนอยู่ในโลกนี้ พระองค์ก็ไม่สามารถไปปรากฏตัวในทุกๆ ที่
พระองค์ก็ทรงมีความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันสำหรับสาวกแต่ละคน พระองค์มีสาวก
คนสนิทที่ติดตามพระองค์ไปทุกที่ เช่น เปโตร
ยากอบ ยอห์น พระเยซู มีสาวก 12 คน มีฝูงชนที่ติดตามพระองค์ เป็นจำนวนมากมาย
แต่พระองค์ก็ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับทุกคน
ดังนั้นเราเองก็เช่นกัน เราไม่สามารถอยู่ทุกหนทุกแห่งเพื่อทุกคนได้
เราต้องตัดแต่งความสัมพันธ์ของเรากับผู้คนด้วย
จงอย่ารู้สึกผิดที่ไม่สามารถสนิทสนมกับทุกๆ คนได้
เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตเราจะวุ่นวายและไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเราได้เลย
3. ตัดแต่งการอุทิศทุ่มเทของเรา (Trim our commitment)
การอุทิศทุ่มเทเป็นสิ่งที่ดี แต่การอุทิศทุ่มเทมากเกินไปจะทำให้พบกับความพ่ายแพ้ เราไม่สามารถช่วยคนทุกคนในทุกเรื่องได้
ถ้าคุณตระหนักถึงจุดนี้ได้ ชีวิตคุณจะมีความเรียบง่ายมากขึ้น
และมีความเครียดน้อยลง
เราอาจจะมีคำถามต่อไปว่า แล้วการอุทิศทุ่มเทด้านใดบ้างที่
เราควรจะต้องตัดออกไป เราเคยไปรับปากหรืออุทิศทุ่มเท
ในอะไรที่เกินกว่าตัวเราจะทำได้หรือเปล่า?
เราควรจะต้องให้เกียรติ กับศักยภาพที่อยู่ในตัวของเราด้วย เราอย่าพยายามเป็นวีรบุรุษ ทั้งๆ
ที่เราก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
พระเจ้ากำหนดให้เราเป็นอวัยวะที่แตกต่างกันในพระกายของพระคริสต์ เราแต่คละคนมีของประทาน
มีความสามารถที่แตกต่างกัน สิ่งที่คุณทำได้ ผมอาจทำไม่ได้ และสิ่งที่คุณทำไม่ได้
ผมอาจจะทำได้ดี ก็เป็นได้ ดังนั้น เราต้องทำงานร่วมกัน ช่วยกัน
ไม่ใช่การฉายเดี่ยวหรือเหมาทำคนเดียวหมด
เราไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทำทุกอย่าง
พระเจ้าไม่ได้เรียกเราให้ทำสิ่งสิ่งที่เข้ามาในชีวิตของเรา
เราจำเป็นต้องรู้เป้าหมายและวัตถุประสงค์ในชีวิตของเรา
เพราะเมื่อเรารู้เป้าหมายและวัตถุประสงค์ในชีวิตแล้ว เราก็จะรู้ว่า “เรื่องใดควรรับปากและทุ่มเทให้” และ “เรื่องใดที่ไม่ควรรับปากหรือทุ่มเท?”
ดังนั้นอย่ายอมรับปากหรือทุ่มเทในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพราะเรารู้สึกผิด
การปฏิเสธบ้างบางครั้งก็ทำให้เกิดผลดีกับชีวิตของคุณ
เรามาดูเหตุผลว่า ทำไมผู้คนถึงยินยอมรับปากในหลายสิ่งหลายอย่างที่มากเกินไป?
เรามาดูเหตุผลว่า ทำไมผู้คนถึงยินยอมรับปากในหลายสิ่งหลายอย่างที่มากเกินไป?
a. กลัวว่า ถ้าไม่รับปากช่วยจะทำให้คนอื่นไม่พอใจ :
โดยที่เราลืมคิดไปว่า
ถ้าชีวิตเรายุ่งยากขึ้นเพราะไม่กล้าปฏิเสธ
ก็เป็นความผิดของตัวเราเองไม่ใช่ความผิดของคนอื่น
ถ้าอยากเป็นคนมีประสิทธิภาพ เราต้องทำตัวให้พร้อมที่จะปฏิเสธ หรือ อาจถูกผู้อื่นไม่พอใจบ้าง
b. ขาดจุดประสงค์ที่ชัดเจนในชีวิต:
คนฉลาดต้องปฏิเสธให้เป็น
กับสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในชีวิตของตน ดังนั้นคนเราต้องมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายหลักในชีวิตก่อนเป็นอันดับแรก
เพื่อที่เราจะได้ปฏิเสธกับสิ่งที่ไม่ตรงกับเป้าหมายในชีวิตของเราได้
4. ตัดแต่งการเรียนรู้ของเราเสมอ (Trim your Learning)
ทุกวันนี้เราอยู่ในสังคมที่มีข้อมูลเข่าวสารมากมาย
เรามีการแข่งขันกันเรียน เราให้เด็กๆ ต้องเรียนพิเศษกันตลอดทั้งวันหยุดทั้งตอนเย็น การที่ให้เด็กเรียนพิเศษมากเกินไป
ทำให้เด็กขาดการจดจ่อหรือขาดสมาธิ
ในเรื่องที่สำคัญสำหรับเขาจริงๆ
เราควรจะต้องดูว่า เด็กๆ หรือแม้กระทั่งตัวเราเองนั้น
สนใจในเรื่องใดหรือสิ่งใด แล้วเราก็แนะนำหรือชี้ทางให้เขาไปในทางนั้น
และใช้เวลาจดจ่อมีสมาธิกับสิ่งนั้น โดยสิ่งนั้นจะต้องตรงกับเป้าหมายและจุดประสงค์ในชีวิตที่เราตั้งไว้
อย่าไปเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือนำคุณไปสู่เป้าหมายขีวิตของคุณเลย
5. ตัดแต่งการสู้รบของคุณ (Trim your fight)
พระเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้คุณต้องไปรับมือกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ
อย่ามองว่าการสู้รบทุกครั้งที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณจะต้องลงมือไปต่อสู้กับมันด้วยตัวคุณเอง หลายครั้งที่คุณลงมือทำหรือลงไปต่อสู้ในสิ่งที่คุณไม่ควรทำ
กลับกลายเป็นว่าคุณได้เข้าไปขัดขวางคนที่ถูกเรียกมาเพื่อทำสิ่งนั้นจริงๆ
คุณควรค้นหาแรงปรารถนาของคุณให้พบว่าต้องการทำอะไรจริงๆ
แล้วเดินไปตามแรงปรารถนาของคุณ
ถ้าคุณไม่มีแรงปรารถนาในเรื่องนั้นๆ คุณก็ไม่ต้องเข้าไปอาสาที่จะทำงานนั้น
โดยเฉพาะการเข้าไปอาสาด้วยความรู้สึกผิด
พลังแห่งความเรียบง่าย นั้นเป็นพลังที่มีประสิทธิภาพ
และเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่จะช่วยให้ชีวิตคุณมีสันติสุขและมีความสงบ
รวมทั้งเกิดผลได้อย่างมากมาย
เนื้อหาข้างต้นทั้่งหมด ผมถอดความมาแค่เพียงบางส่วนจากคำเทศนาของ ศิษยาภิบาล อ.นาธาน กอนไม หากท่านต้องการรับฟังฉบับสมบูรณ์
สามารถติดต่อสำนักงาน คริสตจักร พระคุณเต็มล้น www.agcasia.org เพื่อสั่งซื้อ CD คำเทศนาได้ หรือสามารถมาร่วมนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรได้ทุกวันอาทิตย์เวลา
10:00 น. โรงแรมลานนาพาเลซ ถนนช้างคลาน อ.เมือง
จ.เชียงใหม่
พระสิริมีแด่พระเจ้า
เอเมน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น